การเลี้ยงปลาทะเลปลากะพงขาว
ตัวอย่างพ่อค้าที่เลี้ยงปลากะพงขาว
คุณกิบหลี การะวรรณ บ้านเลขที่ 217/1 หมู่ที่ 1 ตำบลสะทิ้งหม้อ
อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา
เล่าถึงแหล่งที่จะไปซื้อพันธุ์ปลาว่า
"พันธุ์ปลาซื้อมาจากจังหวัดสตูล
แต่ที่จังหวัดสตูลก็ซื้อมาจากบางปะกงอีกรอบ
เพราะที่จังหวัดสตูลยังไม่สามารถที่จะเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาได้
ปลาที่สตูลก็มีความแข็งแรงพอ
เพราะน้ำที่จังหวัดสตูลมีความเค็มจัดทำให้ลูกปลาแข็งแรง พอนำมาเลี้ยง
ก็มีโอกาสรอดตายสูงกว่าที่เราจะไปซื้อพันธุ์ปลาจากบางปะกงมาเลี้ยง
เนื่องจากน้ำที่บางปะกงไม่เหมือนกับน้ำที่บ้านเรา มีความเค็มที่ไม่เท่ากัน
ผมก็เคยสั่งลูกปลาจากบางปะกงมาเลี้ยง 2 แสนตัว
พอเลี้ยงไปได้สักพักลูกปลาก็ตายเกือบหมด จึงทำให้ขาดทุนไม่คุ้มกับการเลี้ยง
การขายลูกปลาคิดเป็นนิ้วละ 3 บาท ปกติจะสั่งขนาด 7-8 นิ้ว
เพราะจะแข็งแรงมีโอกาสรอดสูงมาก แต่บางครั้งมีลูกปลาเยอะมากๆ
พ่อค้าที่ส่งลูกปลาก็แย่งกันที่จะมาลงลูกปลา ราคาก็จะลดเหลือ 2.5 บาท
เท่านั้น" คุณกิบหลี เล่า
เงินลงทุน
ครั้งแรกประมาณ 25,000 บาท ต่อกระชัง
ต่อรุ่น โดยกระชังหนึ่งๆ กระชังจะใช้ได้นานถึง 10 ปี ได้กำไร 2,000-2,500 บาท ต่อกระชัง ต่อรุ่น
ในช่วงแรกของการเริ่มต้นก็ต้องลงทุนมาก เนื่องจากต้องทำกระชัง
แต่หลังจากนั้นก็ลงทุนเฉพาะพันธุ์ปลากับอาหารปลาเท่านั้น
วิธีดำเนินการ
คุณกิบหลี เล่าถึงการสร้างกระชังเลี้ยงปลาว่า กระชังแบบลอยได้ (เป็นกระชังที่สามารถเหยียบอยู่ด้านบน)
เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลาที่น้ำไม่มีความแรงจนเกินไป เป็นกระชังที่ตนเลี้ยงอยู่ตอนนี้ เป็นกระชังที่มีความแข็งแรง ต้านทานกับแรงน้ำทะเลได้อย่างดี
ใช้เนื้ออวนขนาด 3-6 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับขนาดของปลา)
มาเย็บเป็นกระชัง กว้าง 4 เมตร ยาว 6 เมตร ลึก 2 เมตร นำก้อนหินใส่ลงไปในก้นกระชัง
เพื่อให้ก้นกระชังยืดออก แล้วหย่อนลงไปในน้ำ โดยเอาเชือกร้อยมุมกระชัง 4 มุม
และร้อยตรงกึ่งกลางของด้านยาวทั้ง 2 ด้าน เพื่อนำไปผูกยึดติดกับเสาไม้ (ไม้ล่าโอน)
ที่ปักลงในน้ำ 6 เสา
จากนั้นนำลูกพันธุ์ปลากะพงขาว ขนาด 7-8 นิ้ว ปล่อยลงในกระชัง 500-600
ตัว ต่อกระชัง เป็นเงินประมาณ 12,000 บาท
การให้อาหาร
ซื้อปลาเป็ดราคากิโลกรัมละ 5 บาท หรือปลาเนื้อ (ปลาทู) ราคากิโลกรัมละ
8.5 บาท และหัวปลาจากโรงงานกิโลกรัมละ 5 บาท
"เมื่อก่อนการให้อาหารปลาจะใช้ปลาทูเป็นส่วนใหญ่
แต่ตอนนี้เรือไม่ค่อยจะออกทะเล เนื่องจากค่าน้ำมันแพงขึ้น ปลาทูก็ลดลง
ก็จำเป็นที่จะต้องให้หัวปลาที่ซื้อมาจากโรงงานเป็นอาหารทุกเช้าหรือทุกเย็น
เพื่อให้ปลาเรียนรู้เวลาอาหารเองถูกต้อง ใน 2 เดือนแรก ให้อาหารทุกวัน วันละครั้ง
ครั้งละ 3 กิโลกรัม เดือนต่อๆ มาให้วันเว้นวัน โดยเดือนที่ 3 ให้เพิ่มเป็น 5
กิโลกรัม ต่อครั้ง ตั้งแต่เดือนที่ 4 ให้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 5 กิโลกรัม ต่อครั้ง
จนครบ 1 ปี อาหารปลาจะเป็น 40 กิโลกรัม ต่อครั้ง ต่อกระชัง
เมื่อปลามีอายุได้ 1 ปี น้ำหนักปลาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่จะกินอาหารเท่าเดิมคือประมาณ 40 กิโลกรัม ต่อครั้ง เมื่อเลี้ยงครบ 2 ปี หรือ 20
เดือน ขึ้นไป ก็จำหน่ายได้ หากปลากะพงขาวที่นำมาเลี้ยงมีขนาด 7-8 นิ้ว
ในช่วงเดือนแรก ต้องให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น โดยใช้ปลาทู 20-25 กิโลกรัม
มาบด ต่อกระชัง
ระยะเวลาในการจับปลา
ที่กลุ่มจะมีการจับปลากันทุกวัน
ระยะเวลาการจับขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ซื้อ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักปลาด้วย
ถ้าปลามีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ขึ้นไป ราคา 80 บาท
น้ำหนักปลา 2 กิโลกรัม ขึ้นไป ราคา 90 บาท
น้ำหนักปลา 3 กิโลกรัม ขึ้นไป 100 บาท
น้ำหนักปลา 4-5 กิโลกรัม ขึ้นไปก็ 120 บาท
ผู้เลี้ยงบอกว่า ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 18 เดือน ก็จับได้แล้ว
การจับปลา ใช้อวนขนาด 3.5เซนติเมตร ลงไปลากปลาในกระชัง ใช้คนลากประมาณ 3 คน
ส่วนปลาใหญ่ต้องใช้อวนขนาด 6 เซนติเมตร ขึ้นไป
ตลาด/แหล่งจำหน่าย
กว่าจะมีตลาดที่มั่นคงอย่างนี้ คุณกิบหลีเล่าให้ฟังว่า ตนเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่
ตอนนั้นทางกลุ่มยังไม่มีตลาดกว้างมากอย่างนี้ ตนต้องออกไปหาตลาดถึงกรุงเทพฯ
ใช้เวลาอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเดือนๆ เพื่อที่จะหาตลาดให้กับกลุ่ม
แต่แล้วก็ไม่สามารถที่จะสู้ตลาดทางชลบุรีได้ เนื่องจากค่าขนส่งแพงกว่ามาก
ชลบุรีผ่านแค่จังหวัดเดียว แต่ทางกลุ่มผ่าน 14 จังหวัด
ก็ต้องบวกค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องถอยมาดูตลาดที่จังหวัดภูเก็ต
บังเอิญตนไปเจอพ่อค้าที่รับซื้อปลากะพงอยู่แล้ว ก็ได้ติดต่อ
จนกลายเป็นพ่อค้าประจำของกลุ่มไป ทางกลุ่มได้ส่งขายตามโรงแรมอยู่ 4 จังหวัด
มีภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง ปริมาณในการส่งขายสัปดาห์ละ 5,000-6,000 กิโลกรัม
และปลาที่เลี้ยงได้การตอบรับที่ดีมาก เนื่องจากปลาเป็นปลากะพงขาว
รสชาติของเนื้อก็อร่อยกว่า
เพราะบริเวณที่เลี้ยงเป็นทะเลสาบที่มีน้ำจืดและน้ำเค็มไหลผ่าน
ด้านตลาดสดก็มีแม่ค้ามาซื้อไปขาย ส่วนมากจะอยู่ที่ในสงขลามากกว่า
จะมีการสั่งซื้อล่วงหน้าและมีการลงไปจับปลาเพื่อส่งแม่ค้ารายย่อย
วันละ 200-300 กิโลกรัม ทุกวัน แต่บางวันก็มากกว่านั้น
ต้องขึ้นอยู่ว่ามีเทศกาลอะไรหรือเปล่า ตลาดจะชอบปลาขนาด 1-2 กิโลกรัม
ส่วนทางด้านโรงแรมนิยมขนาดปลา 3-4 กิโลกรัม ขึ้นไป
การเลี้ยงปลาทะเลปลาการ์ตูน
เด็ก ๆ
มีความชื่นชมในความน่ารักของปลาการ์ตูนและทำให้นิยมเลี้ยงปลาการ์ตูนมากขึ้น
แต่เนื่องจากปลาการ์ตูนเป็นปลาทะเลการเลี้ยงต้องใช้น้ำทะเลหรือน้ำทะเลเทียมเท่านั้นและต้องปรับอากาศแลสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
การเลี้ยงโดยไม่รู้จักธรรมชาติของปลาทำให้ปลาทรมานและตาย
กรมประมงจึงมอบให้ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยซึ่งเป็นศูนย์ที่สามารถเพาะปลาการ์ตูนที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมดได้
7 ชนิด และของต่างประเทศอีก 1 ชนิด
ให้แนะนำผู้ที่สนใจเลี้ยงปลาการ์ตูนควรคำนึง ดังนี้
1 ตู้เลี้ยงปลา อาจเป็นตู้กระจกหรือตู้พลาสติก
โดยขนาดของตู้ต้องขึ้นอยู่กับ ขนาด ชนิด และปริมาณของปลาที่เลี้ยง
2 ระบบให้อากาศ
การให้อากาศต้องเพียงพอและเหมาะสมเพราะระบบให้อากาศ เพื่อการดำรงชีพของปลา
แล้วยังเป็นการรักษาระบบสมดุล ในตู้ปลาอีกด้วย
3 ระบบกรอง อาจใช้ระบบกรอง ทราย หิน ธรรมดาหรือในปัจจุบัน
ระบบตู้ปลาได้พัฒนาไปมาก ระบบกรอง ย่อมพัฒนามากยิ่งขึ้น
4 น้ำทะเล สามารถใช้น้ำทะเลมาทำการเลี้ยงได้จาก
2 แหล่ง คือ
น้ำทะเลธรรมชาติที่มีความเค็มตั้งแต่ 25
พีพีที ขึ้นไป โดยการนำมากรอง หรือตกตะกอนให้ใส
หรืออาจนำมาฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน 5 - 10
พีพีเอ็ม ทิ้งไว้จนคลอรีนหมด
และการทำน้ำทะเลเทียม โดยซื้อเกลือเทียมซึ่งมีขายตามร้านขายปลาทั่วไป
วิธีการใช้จะมีฉลากบอกไว้แต่โดยทั่วไปจะนำผงเกลือเทียมละลายกับน้ำจืดในปริมาณที่
กำหนดแล้วให้อากาศ ไว้ประมาณ 3 - 7 วัน
จึงนำมาใช้
5 อาหาร สามารถให้เนื้อปลา หนอนแดง อาร์ทีเมีย
แต่สำหรับปลาที่ได้จากการพาะเลี้ยงสามารถให้อาหารสำเร็จรูป
ชนิดเม็ดหรือชนิดแผ่นเป็นอาหารได้ โดยให้วันละ 1 - 2 ครั้ง
ในปริมาณที่ไม่มากเกินเพราะปริมาณอาหารที่เหลือจะทำให้คุณสมบัติน้ำเปลี่ยนแปลง
ทำให้เกิดโรคได้ง่ายขึ้น
มีราคาอยู่กระป๋องละ 100 บาทครับ |
อาร์ทีเมีย |
หนอนเเดง |
6 การดูแลจัดการเรื่องน้ำ ตู้ปลาที่กรองด้วยทรายหรือหิน
ควรเปลี่ยนน้ำทุก 1 - 2 สัปดาห์ โดยเปลี่ยน 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ของน้ำ
ส่วนตู้ปลาสมัยใหม่ที่มีระบบกรองที่พัฒนาขึ้น มีระบบกำจัดโปรตีน มีระบบให้โอโซน
มีการให้แสง UV พบว่า สามารถใช้น้ำได้นานกว่า 1 เดือน
ดังนั้น การเปลี่ยนถ่ายน้ำจึงขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของน้ำในตู้ เป็นสำคัญ
7 ข้อควรระวังในการป้องกันโรค
ปลาที่รวบรวมจากธรรมชาติมักเป็นปลาที่บอบช้ำและอ่อนแอ
จึงต้องเลือกซื้อปลาที่ไม่เป็นโรคหรืออ่อนแอมาเลี้ยง ส่วนปลาที่ได้จากการเพาะเลี้ยงหากสามารถซื้อจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมง
ชายฝั่ง จ. กระบี่
จะได้ปลาที่มีสุขภาพแข็งแรงทนทานและมีขนาดสม่ำเสมอ ไม่ควรให้อาหารมากเกินไป
ปริมาณและชนิดปลาต้องเหมาะสมกับระบบการเลี้ยง
คุณสมบัติน้ำต้องเหมาะสมและเมื่อปลาเป็นโรคต้องปรึกษาผู้รู้หรือปฏิบัติตามคู่มือการรักษาโรคปลาของกรมประมงอธิบดีกรมประมงกล่าวในตอนท้ายว่า
ปลาการ์ตูนเป็นปลาที่อาศัยอยู่บริเวณแนวปะการังและดอกไม้ทะเล
การรวบรวมพันธุ์ปลาการ์ตูนจากธรรมชาติ นอกจากทำลายทรัพยากรปลาการ์ตูนแล้วยังทำลายปะการังและดอกไม้ทะเลซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอีกด้วย
ดังนั้นจึงควรซื้อเฉพาะปลาการ์ตูนที่ได้มาจากการเพาะพันธุ์
ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้เพาะพันธุ์ได้หลายรายรวมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง
จ. กระบี่ ของกรมประมงด้วย
การที่กรมประมงสามารถเพาะปลาการ์ตูนได้หลายชนิดย่อมช่วยอนุรักษ์ระบบนิเวศในทะเลเป็นอย่างมากและยังสนับสนุนธุรกิจปลาสวยงามอีกด้วย
ที่มา:หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://www.nicaonline.com/webboard/index.php?topic=3802.0;wap2
http://likenemo.com/article.php?article=article5.2